Categories
- Articles (98)
- News (61)
- ไม่มีหมวดหมู่ (1)
Recent Posts
- ราวกันตก (Hand rail)15 สิงหาคม 2024
- THANAWOODS จำหน่าย นั่งร้านลิ่มล็อค4 เมษายน 2024
- Speedform with Prop6 กุมภาพันธ์ 2024
- ราวกันตก (Hand rail)
ป้ายกำกับ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ CP เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวจากภาคธุรกิจเอกชนของประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และบทบาทของภาคธุรกิจในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บนเวทีเสวนาระดับโลก “Transforming Agriculture and Land Use to Win the Race to Zero”
เวทีดังกล่าวจัดขึ้นแบบออนไลน์ เป็นส่วนหนึ่งของ ASEAN-UK Race to Zero Dialogues จัดโดย UK COP26 Presidency, UK-ASEAN Business Council และ ASEAN Business Advisory Council โดยมีผู้บริหารและนักวิชาการจากสถาบันและองค์กรชั้นนำจากนานาประเทศร่วมเสวนา เพื่อระดมสมองผนึกกำลังทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจมุ่งจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือซีพี กล่าวบนเวทีเสวนาระดับโลก โดยสรุปว่า เครือซีพีได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายความยั่งยืนปี 2030 สู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านความยั่งยืน ถือเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ โดยประกาศ 2 เป้าหมายที่เครือซีพีต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2030 คือ
1.การมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Waste ลดขยะและของเสียให้เป็นศูนย์
2.การมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Carbon องค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “สุทธิ” เป็นศูนย์
ทั้งนี้ ถือเป็นความท้าทายของเครือซีพีในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืนให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ เครือซีพีได้ยึดแนวทาง Climate Smart Agriculture หรือการบริหารจัดการภาคการเกษตรที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสีย
รวมทั้งการดำเนินการต่าง ๆ ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด เช่น การใช้พลังงานทดแทนจากระบบไบโอแก๊ส การพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากมูลสัตว์
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ตลอดจนกระบวนการผลิตและเทคนิคทางการเกษตร ซึ่งนำไปสู่การจัดการเชิงนิเวศในผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้เทคโนโลยีในการมอนิเตอร์การเลี้ยงกุ้งตรวจสอบได้ว่ากุ้งต้องการอาหารมากแค่ไหนเพื่อบริหารจัดการในการลดของเสียและมลพิษ
รวมถึงใช้ระบบรีไซเคิลน้ำที่ช่วยลดการใช้น้ำต่อกิโลกรัมของผลิตภัณฑ์ลง 86% และลดการใช้พลังงานในระบบบำบัดน้ำได้ 30-35% ขณะเดียวกันก็เพิ่มผลผลิตไปได้อย่างคู่ขนาน
นอกจากนี้เครือซีพีได้นำพลังงานหมุนเวียนรูปแบบต่าง ๆ มาใช้ในการดำเนินการอย่างเหมาะสมกับธุรกิจต่าง ๆ ทั้งฟาร์มหมู โรงงานไข่ไก่ โรงงานแปรรูปอาหารหลายแห่ง อาทิ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาโรงงานและอาคารสำนักงาน การใช้พลังงานจากก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์และน้ำเสียนำไปบำบัดจนได้ก๊าซชีวภาพ นำไปผลิตกระแสไฟฟ้าและนำกลับไปใช้ในสถานประกอบการ ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่ายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้กว่า 600,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ยังได้ขยายการพัฒนาระบบก๊าซชีวภาพไปสู่การดำเนินกิจการของซีพีในประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน เช่น กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
“เครือซีพียังคงเดินหน้าพัฒนาหาโซลูชั่นทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อมาช่วยให้เกษตรกรในไทยและภูมิภาคอาเซียนได้บริหารจัดการพร้อมรับกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการเฝ้าติดตามปศุสัตว์แบบดิจิทัล การจัดการคุณภาพน้ำ และการใช้โดรนเพื่อการเกษตร เทคโนโลยีเหล่านี้เครือซีพีได้ร่วมแบ่งปันกับเกษตรกรที่เป็นพันธมิตรตลอดจนการดำเนินงานของซีพีเอง โดยมีเป้าหมายคือการลดของเสียจากกระบวนการผลิตในภาคเกษตรขณะเดียวกันยังคงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ด้วย” นายนพปฎลกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีผู้ร่วมเสวนาจากองค์กรชั้นนำระดับโลก อาทิ นายคริสโตเฟอร์ สจ๊วต Global Head of Corporate Responsibility and Sustainability บริษัท โอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทซื้อขายสินค้าเกษตรชั้นนำของโลก นายดานุช ดิเนช Head of Partnerships and Outreach – CGIAR Research Program on Climate Change, Agriculture and Food Security
โดยเป็นหน่วยงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเชื่อมโยงกับภาคเกษตรและอาหาร นางสาวอิเมลดา บาคุโด ที่ปรึกษาโครงการเครือข่ายการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาเซียน (ASEAN Climate Resilience Network) เครือข่ายนักวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคอาเซียน และนายอเลกซานเดอร์ ไจลส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้า Liberty Produce บริษัทเทคโนโลยีการเกษตรจากประเทศอังกฤษ
รวมทั้งทุกคนต่างตระหนักดีกว่าภาคการเกษตรและการผลิตอาหารของโลกได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีส่วนในภาวะโลกร้อน ดังนั้นจึงต้องร่วมกันเร่งมือเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผลิตอาหารที่ปลอดภัยและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องเร่งสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนเพื่อจับมือกันลดผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มาจากภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล จาก : https://www.bangkokbiznews.com/business/942552?fbclid=IwAR2CWSGGHV6icx5rw_stcfxva2OXR_Jev4i9a4gZTJWhNxpqIVaP7_tgx7g